อาหารต้านสมองฝ่อ"เอาอยู่" อาหารขยะกลับยิ่งเร่งให้ทรุด
วารสารวิชาการ “ประสาทวิทยา” เปิดเผยว่า อาหารที่อุดมด้วยวิตามินและปลา อาจช่วยป้องกันสมองไม่ให้แก่ชราได้ ขณะที่การกินอาหารที่ถือกันว่าเป็นอาหารขยะ กลับทำให้สมองเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว
ผู้สูงอายุที่ตรวจพบว่ามีระดับ วิตามินและกรดไขมันโอเมกาในเลือดสูง นอกจากสมองจะเหี่ยวน้อยแล้ว ยังมีสติปัญญาดีขึ้นด้วย ขณะที่ไขมันชนิดที่มีอยู่ในอาหารขยะ มีส่วนทำให้สมองหดแบบที่พบในผู้เป็นโรคสมองเสื่อม
องค์การวิจัยโรค สมองเสื่อมของอังกฤษ ได้เรียกร้องให้มีการศึกษาเรื่องอาหารและความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมให้หนัก ขึ้น และบอกว่า ข้อแนะนำที่ดีที่สุดในปัจจุบัน คือการให้กินอาหารที่ถูกส่วน ประกอบด้วยผักและผลไม้มาก อย่าสูบบุหรี่ และออกกำลังอยู่ประจำ ควบคุมระดับความดันโลหิตและไขมันในเลือดเอาไว้
คณะผู้เชี่ยวชาญของ สหรัฐฯ ได้พบในการวิเคราะห์ตัวอย่างของผู้สูงอายุ อายุเฉลี่ย 87 ปีที่ยังคงแข็งแรงดี และไม่พบว่าป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมมาก่อนว่า ผู้ที่มีระดับวิตามินบี ซี ดี และอี ในเลือดสูง ต่างทำผลการทดสอบความจำและความคิดอ่านได้ดี รวมทั้งผู้ที่มีระดับไขมันโอเมกา3 ซึ่งพบส่วนใหญ่มีอยู่ในปลาด้วย
หน้าที่ของสมองทั้งสองซีก

สารอาหารบำรุงสมอง
ควรรับประทานเนื้อปลาทุกวันหรือ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะเนื้อปลาทะเลเช่น ปลาทู ปลากระพง และปลาตาเดียว เป็นต้น
ควรรับประทานเนื้อปลาทุกวันหรือ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะเนื้อปลาทะเลเช่น ปลาทู ปลากระพง และปลาตาเดียว เป็นต้น
ผักและผลไม้ ผักที่มีสีเขียว เหลืองหรือแดง อาหารเหล่านี้ให้วิตามินซี เพื่อนำไปสร้างเซลล์เยื่อบุต่างๆทั่วทั้งร่างกายและวิตามินเอทำให้เซลล์ประสาทตาทำงานได้เต็มที่ ซึ่งส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมในการพัฒนาสมอง
วิตามินและเกลือแร่ ช่วยในการทำงานของเชลล์ในการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้เป็นพลังงาน ถ้าขาดจะทำให้เชลล์สมองมีการทำงานลดลงและเชื่องช้าจะกระทบต่อการเรียนรู้ของเด็ก
ปลา ไก่ หมู นมและอาหารทะเล อาหารเหล่านี้มีแร่ธาตุต่างๆเช่น เหล็ก ทองแดง แมกนีเซี่ยม สังกะสี ฟอสฟอรัสและไอโอดีน มีผลต่อการทำงานของเซลล์สมอง
ผักตระกูลกะหล่ำ(ทำให้สุก) ข้าวสาลี และน้ำนมแม่ สามารถไปยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระที่อาจจะทำลายเซลล์สมองได้
การพัฒนาศักยภาพทางสมองของเด็ก ขึ้นกับ อาหาร พันธุกรรม สิ่งแวดล้อมต่างๆ และสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การมีโอกาสได้ใช้ความคิดอยู่เสมอ ให้เด็กมีโอกาสคิดในหลากหลายแบบเช่น คิดแสวงหาความรู้ คิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดกว้าง คิดไกล คิดเชิงอนาคต คิดนอกกรอบ ผู้ปกครองหรือครูควรจัดกิจกรรมให้เด็กได้ฝึกการคิดอย่างเหมาะสมกับวัย และมีความสุขในขณะที่ฝึก สมองจึงจะพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น